วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

น่ารู้กับเทคโนโลยีสุขาภิบาล


       อยากแนะนำให้คุณผู้อ่านทราบหน่ะค่ะว่า  ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่น่าจะรู้จักกันมากขึ้นคือ ระบบการแยกปัสสาวะออกจากระบบท่อน้ำโสโครก ( Sewerage System with Urine Diversion) พูดกันง่าย ๆ    ก็คือมีการแยกปัสสาวะก่อนที่จะลงไปในระบบ แยกตั้งแต่เริ่มการขับถ่ายเลยก็ว่าได้  ระบบนี้วัตถุประสงค์หลักจริงๆ ก็เพื่อนำปัสสาวะมาใช้ในเกษตร โดยทำกันอย่างจริงจัง  ผู้เขียนได้อ่านเจอในคู่มือที่มีชื่อว่า Compendium of Sanitation Systems and Technologies  ซึ่งพูดถึงเรื่องระบบที่ทำออกมาเป็นซี่รี่ย์เป็นเทมเพลส เพื่อให้เข้าใจและนำไปใช้กับการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสุขาภิบาล มาจาก Eawag: Swiss Federal Institute of Aquatic Science and Technology.  Water and Sanitation in Developing Countries. http://www.eawag.ch/forschung/sandec/publikationen/compendium_e/index_EN.
ระบบการแยก/โอนปัสสาวะโดยท่อน้ำโสโครก (Sewerage System with Urine Diversion)
           ระบบน้ำโสโครกนี้เป็นระบบที่ใช้กันอยู่แล้ว   แต่แตกต่างกันตรงที่เป็นระบบที่มีการใช้น้ำที่เป็นระบบ         ชักโครกโดยแยกปัสสาวะออกมาจากโถ หรือที่เรียกว่า “Urine Diverting Flush Toilet (UDFT)” UDFT  เป็นระบบพิเศษที่ช่วยให้ผู้ใช้ส้วมแยกของเสียจากการขับถ่ายได้สะดวก นั่นคือการแยกอุจจาระและปัสสาวะ ตลอดจนการรวบรวมน้ำปัสสาวะที่ปราศจากน้ำล้างที่ปนเปื้อน สำหรับส่วนที่แยกอุจจาระหรือ “Brownwater” ก็จะทำการชักโครกลงระบบต่อไป พิจารณาตามระบบ  ดังนี้
1. ปัจจัยนำเข้าระบบนี้  (inputs products) ได้แก่  อุจจาระ (Faeces), ปัสสาวะ (Urine), น้ำชักโครก (Flushwater), น้ำชำระภายหลังการขับถ่าย (Anal Cleansing Water), วัตถุดิบสำหรับชำระล้าง (Dry Cleansing Material), น้ำฝน (Stormwater), และน้ำชำระล้าง (Greywater)
2.สุขภัณฑ์ (User Interface) หรือส่วนที่ต้องสัมผัสกับผู้ใช้ เทคโนโลยีที่ใช้ในส่วนนี้ เป็นระบบชักโครกโดยแยกปัสสาวะออกมาจากโถชักโครก (Urine Diverting Flush Toilet : UDFT) และโถปัสสาวะชาย(Urinal) อย่างไรก็ตามระบบ UDFT สามารถใช้ได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ถึงแม้ว่าเพศชายจะมีโถปัสสาวะอยู่แล้วก็ตาม ก็สามารถใช้ได้ร่วมกับระบบนี้ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้งาน
3.น้ำชักโครกอุจจาระ (Brownwater) และ (ปัสสาวะ) จะแยกในขั้นตอนของเทคโนโลยีที่สัมผัสกับผู้ใช้ (User Interface) น้ำชักโครกอุจจาระจะเข้าสู่ระบบท่อน้ำโสโครกและถูกเก็บรวบรวมแล้วนำไปบำบัดด้วยระบบบำบัดน้ำเสียแบบกึ่งศูนย์กลาง ((Semi-) Centralized Treatment facility) โดยต่อเข้ากับระบบระบายน้ำเสียแบบทั่วไปหรือแบบอย่างง่าย (Simplified Sewer network ) หรือระบบระบายน้ำเสียแบบท่อแรงโน้มถ่วง  (Gravity Sewer network)
         4.น้ำซักล้าง (Greywater) ถูกส่งไปยังท่อระบายน้ำเสียแต่ยังไม่ได้รับการบำบัด  ในบางสภาวะแวดล้อม,น้ำฝนที่ถูกชะล้างจะไหลลงไปยังท่อระบายน้ำแม้ว่าจะล้นจากรางระบายน้ำก็ตาม น้ำปัสสาวะจะถูกแยกออกไปตรงจุดที่สุขภัณฑ์สัมผัสกับผู้ใช้งานโดยตรงโดยจะเชื่อมกับถัง/แทงก์สะสม (Storage Tank) และจากถังสะสมก็จะนำไปใช้ประโยชน์หรือกำจัดโดยใช้แบบกระป๋องที่เรียกว่า“Jerry can” หรือที่เป็นแกลลอน “Moto rized E&T”  สำหรับการนำน้ำปัสสาวะไปใช้ปรับปรุงดินเพื่อการเกษตร (agricultural lands)
         5.น้ำชักโครกอุจจาระ (Brownwater) ถูกนำไปบำบัดยังระบบแบบ (กึ่ง) ศูนย์กลาง กากตะกอนอุจจาระ (Faecal Sludge) ที่เกิดขึ้นในระบบนี้   ควรจะต้องนำกากตะกอนไปบำบัดเพื่อการใช้ปรับปรุงพื้นที่/ดิน(Land Application)  หรือการกำจัดด้วยเทคโนโลยี (Surface Disposal) เทคโนโลยีที่นำมาใช้บำบัดหรือกำจัดน้ำเสียหรือสิ่งขับถ่ายมนุษย์นี้จะถูกรวบรวมจากเทคโนโลยี รวมถึงระบบระบายน้ำ ,Aqua culture, Macrophyte Pond หรือการปล่อยน้ำทิ้งไปยังแหล่งน้ำตามธรรมชาติหรือการปนเปื้อน/ไหลซึมลงสู่น้ำใต้ดิน
               จากที่กล่าวมาข้างต้นการพิจารณา UDFTs เป็นระบบที่ไม่ธรรมดาและต้นทุนการใช้ระบบนี้ค่อนข้างสูง เป็นข้อเท็จจริงสำหรับข้อจำกัดของระบบนี้หากพูดในเชิงด้านการตลาดเนื่องจากระบบนี้ต้องใช้แรงดันสูงหรือปั๊มที่มีคุณภาพสูงหรือต้องมีระบบประปาถึงจะใช้เทคโนโลยีนี้ได้  นอกจากนี้การใช้ระบบระบายน้ำเสียแบบท่อแรงโน้มถ่วง (Gravity Sewers) ต้องใช้พื้นที่ขุดท่อค่อนข้างกว้างและค่าติดตั้งแพง แต่ระบบระบายน้ำเสียแบบท่ออย่างง่าย (Simplified Sewers) หรือระบบท่อทั่วไป เป็นระบบที่ประหยัดกว่า เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ถ้าหากแบบแปลนที่ออกแบบไว้ได้รับได้รับอนุญาตให้มีการก่อสร้างได้ ดังนั้นนัยสำคัญของระบบนี้ก็คือเป็นระบบของเสียจากการขับถ่ายที่ใช้น้ำในการขับเคลื่อนที่หรือระบบชักโครกเหมาะสำหรับความต้องการที่จะต้องนำของเสียไปใช้งานโดยเฉพาะปัสสาวะ   ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของท่อระบายน้ำเสียที่ใช้กับระบบนี้ด้วยและสามารถปรับใช้กับพื้นที่ในเมืองและชานเมืองหรือที่มีประชากรหนาแน่น และยังไม่เหมาะกับพื้นที่ในเขตชนบทเนื่องจากเป็นระบบชักโครกที่ต้องอาศัยแรงดันของน้ำค่อนข้างสูงประกอบกับข้อจำกัดเรื่องทรัพยากรน้ำในบางพื้นที่ หรือมีอุปทานคงที่ของความต้องการน้ำเพื่อการใช้สอยและอาจต้องไม่ต้องกังวลหรือปัญหาเรื่องระบบท่อมากนัก  นอกจากนี้ยังอาจเป็นประโยชน์ต่อระบบบำบัดน้ำเสียในกรณีที่ต้องรับภาระบำบัดอินทรีย์ที่มีค่ามากกว่าออกแบบไว้โดยเฉพาะของเสียจากการขับถ่ายที่มีสารอาหารของพืช เพื่อลดไม่ให้มีมากจนเกินไปโดยเฉพาะปัสสาวะที่มีการนำไปใช้ประโยชน์ก่อนที่จะรวมไปกับระบบบำบัดน้ำเสีย อย่างไรก็ตาม  ถ้าพืชยังได้รับสารอาหารจากระบบบำบัดน้ำเสียแบบเดิมก็จะเพิ่มการเจริญเติบโตของพืชน้ำเช่น ผักตบชวา สาหร่าย ฯ ซึ่งระบบนี้อาจจะเพิ่มปัญหาต่อไปก็ได้  และขึ้นกับโครงสร้าง ระบบการจัดการประเภทของท่อระบายน้ำเสีย(โดยเฉพาะที่ใช้ในเมืองและชุมชนนั่นคือ ท่อแบบอย่างง่ายและแบบโน้มถ่วง) และวัสดุให้เลือกใช้หลากหลายชนิด และต้องอาศัยการดูแลบำรุงรักษาด้วย  
 [แปลและเรียบเรียงจาก Compendium of Sanitation Systems and Technologies    หน้า-31 ]
         คุณผู้อ่านคงได้รับทราบแล้วนะคะมีเทคโนโลยีสุขาภิบาลที่น่าสนใจที่ช่วยให้ผู้ที่สนใจอย่างจริงจังเกี่ยวกับการนำปัสสาวะมาใช้ประโยชน์ ซึ่งในต่างประเทศเค้าทำกันอย่างจริงจัง  เห็นคุณค่าของทรัพยากรทุกอย่างแม้แต่ของเสียที่เราคิดว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจ  แต่ปัจจุบันกลับตีมูลค่าออกมาเป็นตัวเงินแล้ว  ทิ้งไปก็เหมือนกับทิ้งเงินจริงๆ  ประกอบกับประเทศไทยเราก็ป็นประเทศเกษตรกรรม  ของเสียเหล่านี้มีธาตุสูง และลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมีได้ด้วย หากทำกันอย่างจริงๆจังๆคิดว่าคงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรไทยนะคะ  และคิดว่ายังเป็นวิธีจัดการของเสียจากการขับถ่ายได้อย่างลงตัวอีกด้วย
 
       
 
 
ภาพ “Urine Diverting Flush Toilet ”หรือ UDFT 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

การสำรวจสถานการณ์ส้วมโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร(The Public toilet situation in schools of Bangkok Metropolitan survey)


การสำรวจสถานการณ์ส้วมโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร
(The Public toilet situation in schools of Bangkok Metropolitan survey)
นางสาวสัจมาน  ตรันเจริญ  สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม  กรมอนามัย  กระทรวงสาธารณสุข
บทคัดย่อ

                การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสำรวจส้วมโรงเรียน      ในสังกัดกรุงเทพมหานครโดยประเมินตามเกณฑ์มาตรฐาน   ส้วมสาธารณะ 3 ด้าน คือ สะอาด เพียงพอ ปลอดภัย   สำรวจพฤติกรรมการใช้ส้วมของนักเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครในเดือนพฤศจิกายน 2550โดยทำสำรวจโรงเรียนจำนวน     79  แห่ง แบ่งเป็นกลุ่มเขต ได้แก่ กลุ่มเขตชั้นใน (ดุสิต พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย) กลุ่มเขตชั้นกลาง (บางซื่อ บางพลัด บางกอกน้อย บางกอกใหญ่) และกลุ่มเขตชั้นนอก (บางกะปิ ดอนเมือง หลักสี่)  แล้วทำการสำรวจหาเชื้อโคลิ-ฟอร์มแบคทีเรีย (Fecal coliform bacteria)   จำนวน 16 แห่ง โดยสวอปจุดเก็บตัวอย่างจำนวน 3 จุด คือกลอนประตู ก็อกน้ำอ่างล้างมือ และพื้นห้องส้วม จำนวน 96 ตัวอย่าง  และสำรวจความเข้าใจในพฤติกรรมการใช้ส้วมของนักเรียนจำนวน 6 คนต่อโรงเรียน เป็นจำนวนผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งหมด 474  คน  
ผลการศึกษาพบว่าส้วมในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ในภาพรวม มีส้วมสาธารณะที่ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานทั้ง 3 ประเด็น (HAS) ร้อยละ 12.7 แยกเป็นความสะอาด ร้อยละ 29.1, ความเพียงพอ ร้อยละ 30.4 และความปลอดภัย ร้อยละ 39.2 จะเห็นได้ว่าส้วมโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครควรเน้นในด้านความสะอาด รองลงมาคือความเพียงพอ และปลอดภัยตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าประเด็นที่ต้องพิจารณาในเกณฑ์ฯ 16 ข้อที่ไม่ผ่านมากที่สุด 6  อันดับแรก ได้แก่  ข้อ10 จัดให้มีส้วมนั่งราบฯ   ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ68.4- ข้อ5 สบู่ล้างมือ พร้อมให้ใช้ตลอดเวลาที่เปิดให้บริการ   ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 64.6 ข้อ 7 มีการระบายอากาศดี และไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60.8 ข้อ 1พื้น ผนัง เพดาน โถส้วม ที่กดโถส้วม  โถปัสสาวะ ที่กดโถปัสสาวะ สะอาด  ไม่มีคราบสกปรก  อยู่ในสภาพดีใช้งานได้ ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 58.2 ข้อ 15 พื้นห้องส้วมแห้ง    ไม่ลื่นไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 54.5 ข้อ 6 ถังรองรับมูลฝอย สะอาด มีฝาปิด อยู่ในสภาพดี ไม่รั่วซึมตั้งอยู่ในบริเวณอ่างล้างมือหรือบริเวณใกล้เคียง ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50.6     ผลการสำรวจสถานการณ์ฯ จำแนกตามกลุ่มเขต  พบว่า    กลุ่มเขตชั้นกลางผ่านเกณฑ์มาตรฐานมากที่สุด ร้อยละ 19.4 รองลงมาคือกลุ่มเขตชั้นนอก  ร้อยละ 17.6 และกลุ่มเขตชั้นในไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน  จากการทดสอบผลการปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบคทีเรีย (Coliform  bacteria) ในห้องส้วมโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครสุ่มโรงเรียนจำนวน 16 แห่ง โดยสวอปจุดเก็บตัวอย่างจำนวน 3 จุด คือกลอนประตู ก็อกน้ำอ่างล้างมือ และพื้นห้องส้วม     จำนวน   96 ตัวอย่าง พบว่า ห้องส้วมชาย    บริเวณที่มีการปนเปื้อนมากที่สุด คือ  พื้นส้วมหรือที่รองนั่งโถส้วม  ร้อยละ 46.0       รองลงมาคือก๊อกน้ำที่อ่างล้างมือ  (ร้อยละ 49) และบริเวณที่ปนเปื้อนน้อยที่สุด  คือ กลอนหรือหรือบิดประตูภายใน ร้อยละ 43 และห้องส้วมหญิง  บริเวณที่ปนเปื้อนมากที่สุดคือ    พื้นส้วมหรือที่รองนั่งโถส้วม  ร้อยละ 46.0   รองลงมาคือ  ก๊อกน้ำที่อ่างล้างมือ  ร้อยละ 40   จากผลดังกล่าวแสดงให้เห็นจุดที่ต้องเน้นทำความสะอาดเป็นพิเศษ คือพื้นส้วม และก๊อกที่อ่างล้างมือ      จากผลการสำรวจความเข้าใจในพฤติกรรมการใช้ส้วมในภาพรวมพบว่า เด็กนักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครมีความเข้าใจร้อยละ 80.2 ไม่เข้าใจ    ร้อยละ 19.6 พฤติกรรมที่ไม่เข้าใจส่วนใหญ่เป็นเรื่องการปฏิบัติตนเวลาใช้ส้วมนั่งราบ ส่วนใหญ่เมื่อใช้ส้วมนั่งราบจะนั่งเลย ร้อยละ 36.1 ใช้เท้าขึ้นไปเหยียบบนที่นั่ง          ร้อยละ 9.3 ทราบว่าหากมีการใช้กระดาษชำระให้ทิ้งลงในถังขยะ  และทราบว่าไม่ควรทิ้งผ้าอนามัย หรือสิ่งของอื่น ๆทิ้งลงในโถส้วม  ร้อยละ 55.9  ทราบว่าต้องล้างมือด้วยสบู่แ ร้อยละ 84.2  เมื่อเข้าห้องน้ำควรราดน้ำก่อนและหลังใช้ส้วม ร้อยละ 89.5 ยังพบว่ามีเลือกใช้ส้วมนั่งยองร้อยละ 66.5 ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าเคยชินและสะดวก ร้อยละ42.8 รองลงมาคือไม่มีให้เลือกใช้ ร้อยละ 18.8
                สรุปได้ว่าสถานการณ์ส้วมในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครยังคงเป็นปัญหาโดยเฉพาะเรื่องความสะอาด  และความเพียงพอ และจะต้องมีการพัฒนาส้วมโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครต่อไป นอกจากนี้ควรเน้นการ         ทำความสะอาดพื้นและก็อกล้างมือเนื่องจากว่าพบมีการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรีย (Coliform  bacteria)       มากที่สุด 
คำสำคัญ : ส้วมสาธารณะ,โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร

Abstract

                A survey research study was conducted to purpose  the public toilet situation in school of Bangkok survey to evaluated by public toilet criteria ,comprising three elements as Healthy Accessibility Safety as well as the behavior of students using the  public toilet in school of Bangkok Metropolitan on November,2007. Samples of  79 schools were divided among the groups , in 3 district group  are interior district group (Dusit, Pranakorn, Pomprapsatrupai) middle district group (Bangsue, Bangprud, Bangkoknoi, Bangkokyai) exterior  district group (Bangkapi, Donmuang, Laksi) .Using assessment checklist and fecal coliform bacteria test kit  in sample 16 schools by swab public toilet schools  3 points sample are toilet door latch, washbasin faucet  and floor that total 96 samples       and interview the knowledge behavior used public toilet  of 6 students/school  so  474 students were interviewed.
The result of this survey research study in overall was found that 12.7 % school of Bangkok Metropolitan have public toilet standards (HAS) consist of 29.1% Healthy, 30.4 % Accessibility, 39.2 % Safety show that school of Bangkok Metropolitan should emphasize healthy accessibility and safety respectively.         In other to also found that the issue must be considered in the 16 regulation  public health criteria ,which did not pass on the first six such as article 10 is provides a toilet seat's level, was not  passed criteria 68.4%. Article 5     is the soap washes for hands at all the times to open service, was not  passed criteria 64.6%. Article 7 is well ventilated and no odor was not  passed criteria 60.8 %. Article 1 is floor, wall, ceiling , bidet toilet , the toilet press, uriner , the uriner press  have to clean no dirty  slough ,in good can be usable do not pass criteria 58.2 %. Article 15 is ,the toilet dry floor , do not slip was not passed criteria 54.5 %. Article 6 is  a bucket supports  the  waste , clean , no leak waste bins with lids in good condition, clean, no leaks are located in or near area washbasin was not  passed criteria 50.6 %.  From the result of this survey research study by cluster random sampling that district group, it was found that   the middle district group was passed 19.4 %, the most public toilet criteria .Next exterior  district group was passed 17.6 % and interior district group was not passed public toilet criteria. Moreover,  the result toilet Coliform bacteria contamination test kit  in random sample schools of Bangkok Metropolitan were sample 16 schools by swab public toilet schools  3 points sample are toilet door latch, washbasin faucet  and floor that total 96 samples. It was found that the most contaminate in man toilet  was floor  46.0 %,next  washbasin faucet   49 %  and the contaminated area least was door latch or interior doors     43 %. The  most contaminate in female toilet was floor / toilet seat  46 %. Next washbasin faucet 40 %.As a result, show that  the point that must emphasize to clean specially were the floor and washbasin faucet .For  the result of the survey in overall, the understanding in using toilet behavior found that students in school s of Bangkok Metropolitan understand 80.2 %  did not understand 19.6%.The behavior that don't understand the majority gets into trouble time behavior uses the toilet sits plain. Mostlty, when using the toilet sits plain will sit 36.1% , use foot goes up to step on  the toilet seat 9.3 %, to know if  using toilet paper to abandon in trash and should not abandon healthiness cloth or other thing to toilet 55.9%,to know to wash hands with soap and water when later from using toilet  84.2 %,when into the bathroom should pour the water before and after using the toilet 89.5%.Also also showed that the use of squat toilet 66.5%, mainly because of the familiarity and convenience  42.8% . Next be have no choose use 18.8%.
Conclude that the public toilet situation in schools of Bangkok Metropolitan remains a problem, especially the Healthy and Accessibility and must to be developed public toilet schools in Bangkok Metropolitan .In other to should  focus on cleaning and washing to floor and  washbasin faucet   because of  found that the most contaminate Coliform  bacteria.
Keys Word : Public toilet ,Schools of Bangkok Metropolitan

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

การศึกษาความสามารถการทิ้งกระดาษชำระลงในโถส้วมในประเทศไทย (The study of ability to dispose of toilet paper into the toilet in Thailand)


การศึกษาความสามารถการทิ้งกระดาษชำระลงในโถส้วมในประเทศไทย
สัจมาน  ตรันเจริญ  สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม  กรมอนามัย  กระทรวงสาธารณสุข

บทคัดย่อ
             ประชาชนส่วนใหญ่มีการใช้กระดาษอนามัยในส้วมสาธารณะเมื่อใช้แล้วจะทิ้งลงในถังขยะเป็นของเสียที่มีการปนเปื้อนอุจจาระปัสสาวะ ตลอดจนสารคัดหลั่งจากร่างกายซึ่ง ล้วนแล้วแต่มีเชื้อโรคอยู่   ปัจจุบันมีการแนะนำให้ทิ้งกระดาษชำระลงในโถส้วมเพราะมูลฝอยเหล่านี้เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรคและเกิดสุนทรียภาพในการมองที่ไม่น่าดูหากทิ้งไม่เป็นที่แต่มีข้อสงสัยอยู่ว่าหากทิ้งกระดาษชำระลงในโถส้วมอาจมีผลต่อระบบท่อและระบบเก็บกัก   งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความสามารถของกระดาษชำระที่ใช้ภายหลังการขับถ่ายทิ้งลงในโถส้วมได้โดยไม่อุดตันและสนับสนุนพฤติกรรมการใช้ส้วมที่ถูกต้อง โดยไม่ทิ้งวัสดุอื่น นอกจากกระดาษชำระลงในโถส้วมเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ลักษณะการวิจัยใช้เทคนิควิธีวิจัยเอกสาร (Documentary search/Documentary Analysis) /ผู้รู้ โดยรวบรวมจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ และทุติยภูมิ ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย     มี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นศึกษาข้อมูล ขั้นสรุปข้อมูล และขั้นประมวลผล ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ข้อมูล เปรียบเทียบและประมวลผล 
ผลการศึกษาพบว่ากระดาษอนามัยมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปตามประโยชน์การใช้งานคือ กระดาษเช็ดหน้า กระดาษเช็ดปาก กระดาษเช็ดมือและกระดาษชำระมาตรฐานอุตสาหกรรมระบุคุณสมบัติของกระดาษชำระต้องดูดซับและมีความอ่อนนุ่มดีที่สำคัญที่สุดคือต้องกระจายตัวได้ง่ายเมื่อเปียกน้ำ” และให้ความหมายว่า  “กระดาษที่เหมาะสำหรับใช้ทำความสะอาดหลังขับถ่ายเป็นกระดาษย่น มีลักษณะนุ่มดูดซึมน้ำได้ดีและยุ่ยง่ายเมื่อถูกน้ำ” ในกระบวนการผลิต/กรรมวิธี/การทดสอบกระดาษชำระไม่มีการเติมสารต้านการซึมน้ำ(sizing agent)หรือการเติมสารเคมีชนิดสาร  เติมแต่ง(Functional additive)และวัตถุดิบที่นำมาผลิตเป็นเยื่อใยสั้นจึงไม่ต้องทดสอบการต้านแรงดึงเมื่อเปียก นอกจากนี้มาตรฐานอุตสาหกรรมกำหนด  ความสะอาด โดยพิจารณาพื้นที่ของจุดสกปรกและจุดสกปรก พบว่าพิจารณาความสะอาดของกระดาษเช็ดหน้าและกระดาษเช็ดปากมากกว่ากระดาษชำระและในกระบวนผลิตมีการฟอกโดยใช้สารประกอบคลอรีนแต่ทั้งนี้ได้กำหนดให้กลุ่มกระดาษอนามัยมีค่าความpH อยู่ที่ 5.5-8.5 เมื่อพิจารณาฉลากผลิตภัณฑ์พบว่าประเทศไทยยังไม่มีการระบุลงไปให้ชัดเจนว่าเป็นกระดาษที่ใช้สำหรับในห้องส้วมหรือใช้ภายหลังการขับถ่ายส่วนใหญ่ระบุว่า “ใช้ทำความสะอาดร่างกาย”
                 สรุปผลการศึกษาพบว่า  กระดาษอนามัยประเภทกระดาษชำระสามารถทิ้งลงในโถส้วมได้ภายหลังการขับถ่ายเพราะเปื่อยยุ่ยง่าย และกระจายตัวได้ง่ายเมื่อเปียกน้ำควรเลือกซื้อกระดาษชำระ ตามประเภทที่มีมอก. และมีข้อความระบุ "ให้ทิ้งลงในโถส้วมได้”และควรใช้อย่างประหยัด ควรศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการใช้กระดาษชำระเช่น ปริมาณจุลชีพ   ควรรณรงค์ประชาสัมพันธ์สนับสนุนให้ประชาชนเข้าใจพฤติกรรมการใช้ส้วมที่ถูกวิธีโดยไม่ทิ้งวัสดุอื่น นอกจากกระดาษชำระที่กระจายตัวได้ดีลงในโถส้วมประชาชนอาจทดสอบได้ด้วยตัวเองโดยการเอาน้ำใส่กระดาษชำระให้เปียกขยี้เบาๆกระดาษมีการกระจายตัวได้ดี
คำสำคัญ  :  กระดาษอนามัย, กระดาษชำระ, ความสามารถในการละลาย,การต้านแรงดึงเมื่อเปียก

The study of ability to dispose of toilet paper into the toilet in Thailand
Sutchamarn Trancharoen
Bureau of Environmental Health, Department of Health, Ministry of Public Health

Abstract                                                       

Most people use sanitary paper in public toilet when used it into the trash as waste contaminated with fecal urine as well as secretion of the body which are the germs. Currently recommend throwing toilet paper/toilet tissue into the toilet because of these are germs spreading and aesthetics form of looking at unsightly if discarded not as. But also doubt that if  left  the toilet paper into the toilet may affect piping  and storage systems. The objectives of this research is to create understanding about the ability of toilet paper used after excretion into the toilet without clogging and to behavior supports the toilet properly as without   leaving  any other materials except  toilet paper into the toilet. This study is qualitative research as techniques documentary research/documentary analysis    (the knowledge gathered) from the primary data and secondary data. The process research has three phases: the study data phase, summarizing data phase and the processor data phase.         The researcher conducted the data analysis, synthesis, comparative and processing.
The result showed that sanitary paper properties varies according to usage is facial tissue, table napkins, paper towels, toilet paper/toilet tissues. Thai industrial standard  properties of toilet paper must absorb and have to good soft as the most significant      is dissolvability to spread easily when wet  and meaning “toilet paper is appropriate using to clean after excretion as wrinkled paper, looks soft and absorb water well and easily pervious to water.” The manufacturing  processes / step/ testing, toilet paper is  no refills sizing agent or functional additive and  raw material used to produce short fiber pulp can not be tested for wet tensile breaking strength. In addition to Thai industry standard specify  cleanliness  considering the  dirt  area and dirt estimations by the way considerate  facial tissue, table napkins more than toilet tissue and in manufacturing process have been using chlorine bleach step. However, these paper group  has  pH values ​​from 5.5 to 8.5. On the product label consideration showed that producer toilet paper in Thailand has not been specified to make it clear that the sanitary paper used for the toilet or after excretion, but most identified "Use to clean the body".
Conclusion that Sanitary paper especially toilet paper can be flushed down the toilet, after excretion into the toilet without clogging because of disintegrating or dissolvability to spread easily when wet. Should be buying toilet paper by Thai industry standard and product label is “To left into the toilet”. Should be use efficiently and study to support the use of sanitary paper that toilet paper such as microorganism Finally, publicity campaign to encourage people to understand the behavior of the toilet properly without leaving any other material except the toilet paper into the toilet. The public may have their own tests by removing water from wet toilet paper rub gently what decompose easily broken. 

Keyword : Sanitary paper, Toilet paper/Toilet tissue, Dissolvability, Wet tensile breaking strength